วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ลองกระทง

วันลอยกระทง

“ลอยกระทง”เป็นพิธีอย่างหนึ่งที่มักจะทำกันในคืนวันเพ็ญ เดือน ๑๒ หรือวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ อันเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง และเป็นช่วงที่น้ำหลากเต็มตลิ่ง โดยจะมีการนำดอกไม้ ธูป เทียนหรือสิ่งของใส่ลงในสิ่งประดิษฐ์รูปต่างๆที่ไม่จมน้ำ เช่น กระทง เรือ แพ ดอกบัว ฯลฯ แล้วนำไปลอยตามลำน้ำ โดยมีวัตถุประสงค์ และความเชื่อต่างๆกัน สำหรับในปีนี้วันลอยกระทงตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๐

ประเพณีลอยกระทง มิได้มีแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศจีน อินเดีย เขมร ลาว และพม่าก็มีการลอยกระทงคล้ายๆกับบ้านเรา จะต่างกันบ้างก็คงเป็นเรื่องรายละเอียด พิธีกรรม และความเชื่อในแต่ละท้องถิ่น แม้แต่ในบ้านเราเอง การลอยกระทงก็มาจากความเชื่อที่หลากหลายเช่นกัน


ทำไมถึงลอยกระทง
การลอยกระทง เป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าปฏิบัติกันมาแต่เมื่อไร เพียงแต่ท้องถิ่นแต่ละแห่งก็จะมีจุดประสงค์และความเชื่อในการลอยกระทงแตกต่างกันไป เช่น ในเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ก็จะเป็นการบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นบูชารอยพระพุทธบาท ณ หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา ซึ่งปัจจุบันคือแม่น้ำเนรพุททาในอินเดีย หรือต้อนรับพระพุทธเจ้าในวันเสด็จกลับจากเทวโลกเมื่อครั้งไปโปรดพระพุทธมารดา นอกจากนี้ ก็ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อบูชาพระอุปคุตเถระที่บำเพ็ญบริกรรมคาถาในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล บางแห่งก็ลอยกระทงเพื่อบูชาเทพเจ้าตามความเชื่อของตน บางแห่งก็เพื่อแสดงความขอบคุณพระแม่คงคาซึ่งเป็นแหล่งน้ำให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งขอขมาที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไป ส่วนบางท้องที่ก็จะทำเพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ หรือเพื่อสะเดาะเคราะห์/ลอยทุกข์โศกโรคภัยต่างๆ และส่วนใหญ่ก็จะอธิษฐานขอสิ่งที่ตนปรารถนาไปด้วย


พระยาอนุมานราชธน ได้สันนิษฐานว่า ต้นเหตุแห่งการลอยกระทงอาจมีมูลฐานเป็นไปได้ว่า การลอยกระทงเป็นคติของชนชาติที่ประกอบกสิกรรม ซึ่งต้องอาศัยน้ำเป็นสำคัญ เมื่อพืชพันธุ์ธัญชาติงอกงามดี และเป็นเวลาที่น้ำเจิ่งนองพอดี ก็ทำกระทงลอยไปตามกระแสน้ำไหลเพื่อขอบคุณแม่คงคา หรือเทพเจ้าที่ประทานน้ำมาให้ความอุดมสมบูรณ์ เหตุนี้ จึงได้ลอยกระทงในฤดูกาลน้ำมาก และเมื่อเสร็จแล้วจึงเล่นรื่นเริงด้วยความยินดี เท่ากับเป็นการสมโภชการงานที่ได้กระทำ ว่าได้ลุล่วงและรอดมาจนเห็นผลแล้วท่านว่าการที่ชาวบ้านบอกว่าการลอยกระทงเป็นการขอขมาลาโทษและขอบคุณต่อแม่คงคา ก็คงมีเค้าในทำนองเดียวกับการที่ชาติต่างๆ แต่ดึกดำบรรพ์ได้แสดงความยินดีที่พืชผลเก็บเกี่ยวได้ จึงได้นำผลผลิตแรกที่ได้ไปบูชาเทพเจ้าที่ตนนับถือเพื่อขอบคุณที่บันดาลให้การเพาะปลูกของตนได้ผลดี

รวมทั้งเลี้ยงดูผีที่อดอยาก และการเซ่นสรวงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ เสร็จแล้วก็มีการสมโภชเลี้ยงดูกันเอง ต่อมาเมื่อมนุษย์มีความเจริญแล้ว การวิตกทุกข์ร้อนเรื่องเพาะปลูกว่าจะไม่ได้ผลก็น้อยลงไป แต่ก็ยังทำการบวงสรวงตามที่เคยทำมาจนเป็นประเพณี เพียงแต่ต่างก็แก้ให้เข้ากับคติลัทธิทางศาสนาที่ตนนับถือ เช่น มีการทำบุญสุนทานเพิ่มขึ้นในทางพุทธศาสนา เป็นต้น แต่ที่สุด ก็คงเหลือแต่การเล่นสนุกสนานรื่นเริงกันเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น การลอยกระทงจึงมีอยู่ในชาติต่างๆทั่วไป และการที่ไปลอยน้ำ ก็คงเป็นความรู้สึกทางจิตวิทยา ที่มนุษย์โดยธรรมดา มักจะเอาอะไรทิ้งไปในน้ำให้มันลอยไป



ทำไมกระทงส่วนใหญ่เป็นรูปดอกบัว
ในหนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือตำนานนางนพมาศ ซึ่งเป็นพระสนมเอกของพระมหาธรรมราชาลิไทยหรือพระร่วง แห่งกรุงสุโขทัย ได้กล่าวถึงวันเพ็ญเดือนสิบสองว่าเป็นเวลาเสด็จประพาสลำน้ำตามพระราชพิธีในเวลากลางคืน และได้มีรับสั่งให้บรรดาพระสนมนางในทั้งหลายตกแต่งกระทงประดับดอกไม้ธูปเทียนนำไปลอยน้ำหน้าพระที่นั่ง ในคราวนั้นท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือนางนพมาศ พระสนมเอกก็ได้คิดประดิษฐ์กระทงเป็นรูปดอกบัวกมุทขึ้น ด้วยเห็นว่าเป็นดอกบัวพิเศษที่บานในเวลากลางคืนเพียงปีละครั้งในวันดังกล่าว สมควรทำเป็นกระทงแต่งประทีป ลอยไปถวายสักการะรอยพระพุทธบาท ซึ่งเมื่อพระร่วงเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นก็รับสั่งถามถึงความหมาย นางก็ได้ทูลอธิบายจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย พระองค์จึงมีพระราชดำรัสว่า “แต่นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับ กษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์ วันเพ็ญเดือน ๑๒ ให้นำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน” ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นโคมลอยรูปดอกบัวปรากฏมาจนปัจจุบัน

ตำนานและความเชื่อ
จากที่กล่าวมาข้างต้นว่า การลอยกระทง ในแต่ละท้องที่ก็มาจากความเชื่อ ความศรัทธาที่แตกต่างกัน บางแห่งก็มีตำนานเล่าขานกันต่อๆมา ซึ่งจะยกตัวอย่างบางเรื่องมาให้ทราบ ดังนี้

เรื่องแรก ว่ากันว่าการลอยกระทง มีต้นกำเนิดมาจากศาสนาพุทธนั่นเอง กล่าวคือก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา กาลวันหนึ่ง นางสุชาดาอุบาสิกาได้ให้สาวใช้นำข้าวมธุปายาส (ข้าวกวน/หุงด้วยน้ำผึ้งหรือน้ำอ้อย) ใส่ถาดทองไปถวาย เมื่อพระองค์เสวยหมดแล้ว ก็ทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าหากวันใดจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ก็ขอให้ถาดลอยทวนน้ำ ด้วยแรงสัตยาธิษฐานและบุญญาภินิหาร ถาดก็ลอยทวนน้ำไปจนถึงสะดือทะเล แล้วก็จมไปถูกขนดหางพระยานาคผู้รักษาบาดาล

พระยานาคตื่นขึ้น พอเห็นว่าเป็นอะไร ก็ประกาศก้องว่า บัดนี้ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกอีกองค์แล้ว ครั้นแล้วเทพยดาทั้งหลายและพระยานาคก็พากันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และพระยานาคก็ได้ขอให้พระพุทธองค์ประทับรอยพระบาทไว้บนฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อพวกเขาจะได้ขึ้นมาถวายสักการะได้ พระองค์ก็ทรงทำตาม ส่วนสาวใช้ก็นำความไปบอกนางสุชาดา ครั้นถึงวันนั้นของทุกปี นางสุชาดาก็จะนำเครื่องหอมและดอกไม้ใส่ถาดไปลอยน้ำเพื่อไปนมัสการรอยพระพุทธบาทเป็นประจำเสมอมา และต่อๆมาก็ได้กลายเป็นประเพณีลอยกระทงตามที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน


ในเรื่องการประทับรอยพระบาทนี้ บางแห่งก็ว่า พญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าไปแสดงธรรมเทศนาในนาคพิภพ เมื่อจะเสด็จกลับ พญานาคได้ทูลขออนุสาวรีย์จากพระองค์ไว้บูชา พระพุทธองค์จึงได้ทรงอธิษฐานประทับรอยพระบาทไว้ที่หาดทรายแม่น้ำนัมมทา และพวกนาคทั้งหลายจึงพากันบูชารอยพระพุทธบาทแทนพระองค์ ต่อมาชาวพุทธได้ทราบเรื่องนี้จึงได้ทำการบูชารอยพระบาทสืบต่อกันมา โดยนำเอาเครื่องสักการะใส่กระทงลอยน้ำไป

ส่วนที่ว่าลอยกระทงในวันเพ็ญ เดือน ๑๑ หรือวันออกพรรษา เพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับมาสู่โลกมนุษย์ หลังการจำพรรษา ๓ เดือน ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อแสดงอภิธรรมโปรดพุทธมารดานั้น ก็ด้วยวันดังกล่าว เหล่าทวยเทพและพุทธบริษัทพากันมารับเสด็จนับไม่ถ้วน พร้อมด้วยเครื่องสักการบูชา และเป็นวันที่พระพุทธองค์ได้เปิดให้ประชาชนได้เห็นสวรรค์และนรกด้วยฤทธิ์ของพระองค์ คนจึงพากันลอยกระทงเพื่อเฉลิมฉลองรับเสด็จพระพุทธเจ้า

สำหรับคติที่ว่า การลอยกระทงตามประทีปเพื่อไปบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสรวงสรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น ก็ว่าเป็นเพราะตรงกับวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกบรรพชาที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ทรงใช้พระขรรค์ตัดพระเกศโมลีขาดลอยไปในอากาศตามที่ทรงอธิษฐาน พระอินทร์จึงนำผอบแก้วมาบรรจุ แล้วนำไปประดิษฐานไว้ในจุฬามณีเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (ตามประทีป คือ การจุดประทีป หรือจุดไฟในตะเกียง /โคม หรือผาง-ถ้วยดินเผาเล็กๆ) ซึ่งทางเหนือของเรามักจะมีการปล่อยโคมลอย หรือโคมไฟที่เรียกว่า ว่าวไฟ ขึ้นไปในอากาศเพื่อบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีด้วย

เรื่องที่สอง ตามตำราพรหมณ์คณาจารย์กล่าวว่า พิธีลอยประทีปหรือตามประทีปนี้ แต่เดิมเป็นพิธีทางศาสนาพราหมณ์ ทำขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าทั้งสามคือ พระอิศวร พระนารายณ์และพระพรหม เป็นประเภทคู่กับลอยกระทง ก่อนจะลอยก็ต้องมีการตามประทีปก่อน ซึ่งตามคัมภีร์โบราณอินเดียเรียกว่า “ทีปาวลี”โดยกำหนดทางโหราศาสตร์ว่าเมื่อพระอาทิตย์ถึงราศีพิจิก พระจันทร์อยู่ราศีพฤกษ์เมื่อใด เมื่อนั้นเป็นเวลาตามประทีป และเมื่อบูชาไว้ครบกำหนดวันแล้ว ก็เอาโคมไฟนั้นไปลอยน้ำเสีย ต่อมาชาวพุทธเห็นเป็นเรื่องดี จึงแปลงเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทและการรับเสด็จพระพุทธเจ้าดังที่กล่าวมาข้างต้น โดยมักถือเอาเดือน ๑๒ หรือเดือนยี่เป็งเป็นเกณฑ์ (ยี่เป็งคือเดือนสอง ตามการนับทางล้านนา ที่นับเดือนทางจันทรคติ เร็วกว่าภาคกลาง ๒ เดือน)


จากเรื่องข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า การลอยกระทง ส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงความกตัญญูระลึกถึงผู้มีพระคุณต่อมนุษย์ เช่น พระพุทธเจ้า เทพเจ้า พระแม่คงคา และบรรพชน เป็นต้น และแสดงความกตเวที (ตอบแทนคุณ) ด้วยการเคารพบูชาด้วยเครื่องสักการะต่างๆ โดยเฉพาะการบูชาพระพุทธเจ้าหรือรอยพระพุทธบาท ถือได้ว่าเป็นคติธรรมอย่างหนึ่ง ที่บอกเป็นนัยให้พุทธศาสนิกชนได้เจริญรอยตามพระบาทของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามทั้งปวงนั่นเอง 

ประเพณีลอยกระทง นอกจากจะเป็นประเพณีที่มีคุณค่าในเรื่องการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณดังที่กล่าวมาแล้ว ประเพณีนี้ยังมีคุณค่าต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และศาสานาด้วย เช่น ทำให้สมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกัน ทำให้ชุมชนได้ร่วมมือร่วมใจกันจัดงาน หรือในบางท้องที่ที่มีการทำบุญก็ถือว่ามีส่วนช่วยสืบทอดพระศาสนา และในหลายๆแห่งก็ถือเป็นโอกาสดีในการรณรงค์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในแม่น้ำลำคลองไปด้วย

ทั้งหมดที่กล่าวมาคงจะทำให้ท่านได้รู้จักคุณค่า สาระและเรื่องราวเกี่ยวกับ“ประเพณีลอยกระทง” มากขึ้น และหวังว่า “ลอยกระทง” ปีนี้ นอกจากความสนุกสนานแล้ว คงจะมีความหมายแก่ท่านทั้งหลายเพิ่มขึ้นด้วย
ที่มา : อมรรัตน์ เทพกำปนาท
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
ที่มา : www.sanook.com

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Che Guevara(เช เกวารา)



เอร์เนสโต เกบารา (สเปนErnesto Guevara) รู้จักในชื่อ เช เกบารา (สเปนChe Guevara[ɡeˈβ̞aɾa]14 มิถุนายน พ.ศ. 2471 - 9 ตุลาคม พ.ศ. 2510)นักปฏิวัติแนวมาร์กซิสต์ชาวอาร์เจนตินา และเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม 26 กรกฎาคมของฟีเดล กัสโตร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปฏิวัติประเทศคิวบาเมื่อปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959)
เชกำเนิดที่ประเทศอาร์เจนตินาเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2471 (ค.ศ. 1928) ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เหล่าชาวโลกต่างรู้จักชายคนนี้ในฐานะนักปฏิวัติ และยังถูกขนานนามว่าชายผู้สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกในศตวรรษนั้นด้วย
เชเติบโตในครอบครัวที่มั่งมี ตัวเชเองเรียนจบมหาวิทยาลัยในสาขาแพทยศาสตร์ในปี พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) หลังจากพิธีรับปริญญาเพียง 25 วัน เชเดินทางกับเพื่อนนามว่าอัลเบร์โต กรานาโด ด้วยมอเตอร์ไซค์ไปทั่วอเมริกาใต้ และชายคนนี้ก็ได้พบกับความจริงของโลก ได้พบความยากจนข้นแค้นของประชาชน และเป็นจุดกำเนิดของวีรบุรุษแห่งปวงประชาชาวอเมริกาใต้จวบจนถึงปัจจุบัน
เชละทิ้งฐานันดรและครอบครัวของตนเองไว้ที่เม็กซิโก แล้วมุ่งสู่เกาะคิวบาเพื่อหวังจะล้มล้างระบอบการปกครองเผด็จการของฟุลเคนซีโอ บาซิสตา สร้างกลุ่มกำลังของตนเองเพื่อหวังจะทำการปฏิวัติในคิวบา หลังจากปฏิวัติสำเร็จในคิวบา เชได้ออกจากคิวบาในปี พ.ศ. 2508 โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ประเทศอื่นเพื่อก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองอีก เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และประเทศโบลิเวีย ซึ่งที่โบลิเวียนี้ เขาถูกจับได้โดยกองทัพโบลิเวียซึ่งมีหน่วยสืบราชการลับกลาง (ซีไอเอ) ของสหรัฐอเมริกาสนับสนุนอยู่ และถูกสังหารทันทีหลังจากที่ถูกจับตัวได้
9 ตุลาคม พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) ในวันสุดท้ายของชีวิตของเช ทหารโบลิเวียกำลังจะประหารชีวิตเขา เชได้ทิ้งประโยคสุดท้ายของชิวิตเขาไว้ว่า
ยิงฉันเลย... ฉั
นมันก็แค่ผู้ชายธรรมดาคนนึง...
แต่การตายของชายธรรมดาในวันนั้น มีความหมายอย่างยิ่งยวดกับการเมืองของโลก เหล่านักศึกษา หนุ่มสาวทั่วโลกต่างรับรู้และยกย่องการกระทำที่กล้าหาญของเขา ภายหลังการตายของผู้ชายคนนึง เกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศส รวมถึงการเดินประท้วงเรียกร้องอิสรภาพของประเทศเวียดนาม เหล่าวัยรุ่นในประเทศเวียดนาม นำรูปของเชมาใช้ในการเดินขบวน และจนถึงทุกวันนี้ ชายคนนี้ก็ยังเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติ
เช เกบารา ได้เป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติและการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยภาพถ่ายที่มีชื่อเสียงของเช คือ ภาพใบหน้าที่ถ่ายโดยอัลเบร์โต กอร์ดา (Alberto Korda) เมื่อ พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) ใบหน้าของเชรูปนี้ จนถึงปัจจุบันก็ยังปรากฏอยู่ตามเสื้อยืดทั่วโลก รวมทั้งรูปสติกเกอร์ที่ติดบนรถบรรทุกในประเทศไทย
เช เกบารา ได้รู้จักในชื่อเล่นว่า "เช" และนิยมใช้ชื่อนี้ ซึ่งในอาร์เจนตินามีความหมายถึง "เพื่อน, สหาย"







วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ที่มา 10 วิธี จัดการความคิดแง่ลบ ให้อยู่หมัด



ที่มา 10 วิธี จัดการความคิดแง่ลบ ให้อยู่หมัด



เครียด

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          "ปวดเฮด" "เซ็ง" "เครียด"!!... เมื่อรู้สึกมีความคิดในแง่ลบทีไร เป็นต้องมีอาการอย่างที่บอกไปทุกทีเลยใช่ไหมล่ะ ถ้าใช่สละเวลาของคุณสักนิด แล้วมาอ่านบทความนี้ดูสักหน่อย เพราะทางเว็บไซต์ Balanceinme.comได้ทำการรวบรวมเอา 10 วิธีสุดเจ๋งที่สามารถช่วยจัดการความคิดแง่ลบของคุณให้อยู่หมัดได้อย่างง่าย ๆ ชักสนใจขึ้นมาแล้วใช่ไหมครับ งั้นจะมัวช้าอยู่ทำไม มาดูกันว่าทั้ง 10 วิธีนั้นจะมีอะไรบ้าง และจะเจ๋งจริงตามที่บอกหรือเปล่า เลื่อนเมาส์ตามดูกันได้เลย...


 1. พูดคุยกับใครสักคนด้วยมุมมองแง่บวก


          การมีความคิดในแง่ลบมักเป็นเรื่องที่ชวนหงุดหงิดอยู่เสมอ ฉะนั้นแล้ว การแก้ปัญหาในอันดับแรกคือการควบคุมตัวเอง ใจเย็น ๆ แล้วมองหาใครสักคน อาจจะเป็นเพื่อนร่วมงาน พี่น้อง หรือเพื่อนสนิทก็ตามแต่ แล้วลองเล่าปัญหานั้น ๆ ให้เขาฟัง อย่างน้อย ๆ ก็เป็นวิธีการระบายออกที่ดีวิธีหนึ่ง ซึ่งจะทำให้คุณใจเย็นลง และกลับมามีความคิดในแง่บวกตามเดิม 


 2. เขียนระบายผ่านตัวอักษร


         หลาย ๆ ครั้งเมื่อเกิดความคิดแง่ลบขึ้นมาในจิตใจและหัวสมอง จะมองหาใครสักคนนั้นเป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็นนัก ทำให้อึดอัดมาก ๆ ถ้าเป็นแบบนี้มีหวังได้อกแตกตายแน่ ๆ อย่างนี้ต้องหากระดาษมาสักแผ่น ปากกาหรือดินสอมาสักด้าม จากนั้นบรรจงเขียนระบายความรู้สึกแย่ ๆ นั้นออกมา เขียนให้เต็มที่ ไม่ต้องยั้ง ไม่ต้องกลัวกระดาษจะไม่พอ เชื่อเถอะว่าวิธีนี้สามารถช่วยระบายความอึดอัดนั้นได้จริง ๆ ไม่เชื่อก็ลองทำตามดูก็ได้
  3. จดจ่อในงานอดิเรก
          มีผลวิจัยระบุว่า เมื่อใดก็ตามที่คุณสนใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษ จะทำให้คุณหยุดคิดในเรื่องแง่ลบไปแบบปลิดทิ้ง ไม่ว่าจะชอบอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ถ่ายรูปและอื่น ๆ อีกสารพัด จะสามารถช่วยลบความคิดแง่ลบออกไปได้อย่างน่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว
การทำงาน

 4. ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่
          อีกหนึ่งวิธีที่ดูเหมือนจะทำยากไปนิด แต่ก็ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ ก็คือการตัดความคิดแง่ลบนั้นออกไปจากหัวสมอง แล้วตั้งสมาธิที่พุ่งตรงไปกับการทำงานเพียงอย่างเดียว และไม่สนใจสิ่งอื่นใดทั้งนั้น นอกจากความคิดแง่ลบจะหายออกไปจากสารบบสมองแล้ว งานที่คุณทำยังเสร็จตรงเวลาและมีประสิทธิภาพอีกต่างหาก

 5. มองหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ


         หันหลังให้กับเรื่องแย่นั้น ๆ ซะ แล้วออกไปหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ จากสถานที่ใหม่ ๆ ดูบ้าง เพื่อให้คุณมีความรู้สึกที่ดีขึ้น สดชื่นมากขึ้นและลืมเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดใจได้ดียิ่งขึ้น  


 6. ควบคุมตัวเองให้อยู่
         อีกสิ่งหนึ่งที่ควรทำอย่างยิ่งเป็นอันดับแรก ๆ เมื่อเกิดความคิดในแง่ลบขึ้นก็คือการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง เพราะถ้าหากไม่ควบคุมล่ะก็ จะทำให้คุณสติแตก พาลใส่คนนู่นคนนี้ไปทั่ว และจะกลายเป็นเรื่องแย่ ๆ ที่เพิ่มขึ้นในชีวิตของคุณทันที ฉะนั้นใจเย็น ๆ เข้าไว้ คุมตัวเองให้อยู่ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง

 7. รู้จักการให้อภัย


         การรู้จักให้อภัยเป็นสิ่งที่ทำให้โลกสดใส เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดี ๆ ถ้าโกรธใครหรือมีความคิดในแง่ลบกับใครก็ลืม ๆ ไปบ้าง อย่าเก็บมาคิดให้เสียความรู้สึกเลย ปล่อยไปเถอะ แล้วคุณจะมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว
ปีนเขา


 8. ลองหาสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นการท้าทายชีวิต


         ไปครับ! ไปหาเรื่องท้าทายชีวิตแทนกันนั่งจมปลักอยู่กับความรู้สึกแย่ ๆ กันดีกว่า ไม่ว่าจะไปเที่ยวลุยป่า แข่งรถ ปีนเขา หรืออะไรก็ตามแต่ที่ไม่เคยทำและเสี่ยง ๆ หน่อย ได้ทั้งลืมความคิดในแง่ลบ ได้ทั้งประสบการณ์ชีวิตรูปแบบใหม่ ...คุ้มเห็น ๆ


 9. เรียนรู้จากประสบการณ์ที่เคยพบเจอ
         เชื่อว่าหลายคนคงจะต้องเคยเจอเรื่องราวมากมายที่ชวนให้รู้สึกแย่ ๆ กันอยู่พอสมควร แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน ปัญหาต่าง ๆ ที่เคยเจอมานั้นก็เป็นประโยชน์อยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มมีความรู้สึกหรือความคิดในแง่ลบขึ้นมานั้น ให้ลองนึกทบทวนไปถึงเรื่องราวในลักษณะเช่นนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และมีวิธีการแก้ไขปัญหานั้น ๆ อย่างไร ซึ่งการนึกทบทวนนี้จะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับความคิดแย่ ๆ เหล่านั้นได้เป็นอย่างดี

 10. หาความสุขใส่ตัวซะสิ


          พี่ตูน บอดี้แสลม เคยกล่าวไว้ว่า "ชีวิตนี้บางทีก็น้อย คิดไปทำไม ชีวิตนี้บางวันก็เยอะ ถือเป็นกำไร ชีวิตเราก็เท่านี้ ความสุขที่หัวใจต้องการ สุดท้าย มันอยู่ไม่ไกล ค้นลงไปข้างในจิตใจ ใคร ๆ ก็พบมัน" (มาเป็นเพลง !!).. ผมว่าจริงนะครับ คนเรามีเรื่องราวต่าง ๆ นานาเข้ามาในชีวิตมากมาย ที่ดีก็มีความสุขกันไป ที่แย่ก็นั่งซึมเศร้าทำโลกหงอยกันอยู่ไม่น้อย แต่อย่าไปคิดอะไรให้มากความ ใช้ชีวิตให้เต็มที่ หาความสุขให้ตัวเองเยอะ ๆ  เจอเรื่องเครียดหรือเรื่องแย่ ๆ ก็อย่าเพิ่งไปเครียดหรือหัวเสียกับมัน เพราะการมีความสุข จะทำให้ชีวิตของคุณมีแต่รอยยิ้มและทัศนคติต่อสิ่งต่าง ๆ ในแง่บวกอยู่เสมอ


         เป็นอย่างไรกันบ้างเอ่ย กับทั้ง 10 วิธีที่ได้นำมาบอกกล่าวกันในวันนี้ เชื่ออย่างหนึ่งครับว่า หากคุณมีความคิดในแง่ลบมารบกวนอยู่ในหัวสมองแล้วล่ะก็ ขอให้ลองนำวิธีการดี ๆ เหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันกัน วิธีเหล่านี้จะช่วยให้คุณมีความสุขกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว มีความคิดในเชิงบวกด้านการใช้ชีวิต และจะทำให้ความคิดในแง่ลบไม่กล้าแหยมเข้ามาทำลายความสุขของคุณอย่างแน่นอน... คอนเฟิร์ม !
!


คิดบวก


รู้จักความคิดเชิงบวก


        โดยปกติแล้วความคิดเชิงลบจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า เพราะธรรมชาติของคนเรานั้นพร้อมจะมองเห็นความบกพร่องมากกว่ามองเห็นข้อดี ในขณะที่ความคิดเชิงบวก ต้องอาศัยมุมมองและการคิดที่ลึกกว่านั้น ไม่ใช่การคิดชั้นเดียวจากการเห็นแล้วสรุปความเลยว่าสิ่งนั้นไม่ดี แต่ต้อง มาจากมุมมองที่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น(โดยเฉพาะเรื่องไม่ดี)ย่อ ไม่มีประโยชน์หรือความดีแฝงอยู่ด้วยเสมอ


        ดังนั้น การมองโลกเชิงบวก(positive thinking) จึงหมายถึงการมองสิ่งต่างๆอย่างเข้าใจ ยอมรับได้ในด้านลบ มองปัญหา ความทุกข์ ความไม่ราบรื่นเป็นเรื่องธรรมดา หากรู้จักเลือกใช้ประโยชน์จากด้านบวกที่แฝงอยู่จากสิ่งนั้นๆ ได้ เหตุการณ์บางอย่าง เราไม่สามารถเลือกได้ว่าจะให้เกิดหรือไม่ให้เกิด แต่เมื่อเกิดขึ้นไปแล้ว เราเลือกได้ว่าจะมองและรู้สึกกับมันอย่างไร


        ศ.ดร.นายแพทย์วิทยา นาควัชระ นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญ กล่าวให้ความรู้ในเรื่องดังกล่าวว่า มุมมองของคนเรานั้นมีทั้งด้านบวก ด้านลบ หรือมองแล้วเฉยๆไม่รู้สึกอะไร (zero) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นฐานจิตใต้สำนึกของแต่ละคน


       " จิตของมนุษย์เป็นเหมือนก้อนหินลอยน้ำ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือจิตสำนึกหรือความรู้ตัว เป็นส่วนที่โผล่พ้นน้ำมี 5 เปอร์เซ็นต์ กับอีกส่วนหนึ่งคือจิตใต้สำนึก เป็นส่วนใต้น้ำที่มีมากถึง 95 เปอร์เซ็นต์ มาจากการสะสมประสบการณ์ชีวิต ความคิด ความรู้สึกเอาไว้ทั้งลบและบวก"แต่คนเรามักจำเรื่องลบเอาไว้มากกว่า คนไทยเลี้ยงลูกด้วยการตำหนิ กลัวชมแล้วเหลิง หรือไม่ก็ชมไม่เป็น มักนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ห รือด่าว่าด้วยถ้อยคำรุนแรง สิ่งเหล่านี้จะถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก เมื่อเติบโตขึ้น เวลาเราคิดถึงอะไรก็คิดติดลบตลอดเวลา และรู้สึกว่าตนเองไ ด้รับความรักไม่เพียงพอ แม้จะอยู่กับผู้คนมากมาย แต่ประสบการณ์ชีวิตทำให้รู้สึกว่ามีคนรักตนเองน้อย จึงเหงา ว้าเหว่ ไม่เชื่อมั่น ไม่ภาคภูมิใจในตนเอง" ทั้งหมดนี้จึงเป็นพื้นฐานสำคัญและที่มาของความคิดเชิงลบในที่สุด


พลังของความคิด 


        กายกับใจนั้นเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน แน่นอนว่าการมีร่างกายที่เจ็บป่วยอาจทำให้ใจห่อเหี่ยวแต่ใจที่ป่วย จากการคิดร้าย มีแต่ความเคียดแค้นเกลียดชังก็นำมาซึ่งโรคทางกายได้เช่นเดียวกัน ทางการแพทย์เรียกว่า Psychosomatic disorder หรือ การเจ็บป่วยทางกายอันเนื่องมาจากจิตใจ ดังที่มีคำกล่าวที่ว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" การมองโลกในด้านลบ ไม่เพียงแต่ทำให้จิตใจร้อนรุ่มกระวนกระวายเท่านั้น หากยังส่งผลกระทบให้สมองส่วนล่างเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางลบ คือ ฮอร์โมนความเครียดหลั่ง หัวใจเต้นเร็ว ความดันเลือดสูง กรดในกระเพาะสูง ภูมิต้านทานต่ำลงในขณะที่การมองด้านบวก จิตจะสั่งการสมองส่วนล่างด้วยคำสั่งอีกชุดหนึ่ง คือทำให้ฮอร์โมนความสุขหลั่ง หัวใจเต้นช้าลง ความดันเลือดลดลง หายใจช้าลง และภูมิต้านทานสูงขึ้น


        ดังนั้น การควบคุมจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึกให้มีแต่เรื่องดีๆ จึงเท่ากับเป็นการให้ข้อมูลต่อจิตใต้สำนึกของตัวเอง ซึ่งหมายถึงการควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติ ระบบฮอร์โมน และระบบภูมิต้านทานให้เป็นไปทางที่จะทำให้สุขภาพดีโดยทางอ้อมนั่นเอง


        การมองโลกเชิงบวก จะช่วยให้ชีวิตมีความหวังแม้ว่าพบพานอุปสรรคใหญ่หลวง ถือว่าเป็นการหาดีในเลว หาโอกาสในวิกฤติ ซึ่งอาจทำให้เราได้รับประสบการณ์ใหม่ๆที่ไม่มีทางได้รับจากชีวิตที่ราบเรียบก็เป็นได้


        นายแพทย์เบอร์นี เอส.ซีเกล ผู้เขียนหนังสือเรื่อง "ชนะโรคร้ายด้วยหัวใจสู้" (Love medicine and Miracle) ได้กล่าวไว้ว่า "ภาวะทางจิตใจมีผลโดยตรงอย่างฉับพลันกับสภาพทางกาย แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพทางกายได้โดยการจัดการกับวิธีคิด ถ้าเราปล่อยให้ใจเราจมอยู่กับความผิดหวัง ร่างกายก็จะได้รับแต่ "สัญญาณความตาย" แต่ถ้าเราต่อสู้กับความเจ็บป่วยและหาแนวทางแก้ไข ร่างกายก็จะได้รับ "สัญญาณความต้องการอยู่รอด" แล้วระบบภูมิคุ้มกันก็จะเริ่มทำงาน ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น"


หลักการมองโลกเชิงบวก


         ก่อนที่คุณจะเรียนรู้ถึงวิธีคิดเชิงบวก ลองถามตัวเองดูก่อนว่าคุณอยากเป็นคนที่มีความสุขมากกว่านี้ไหม หรือกำลังมีความทุกข์เพราะความคิดของตัวเองตลอดเวลาห รือเปล่า หากคำตอบคือ "ใช่" นั่นคือหัวใจสำคัญของการฝึกฝน เพราะ "ความตั้งใจ" เท่านั้นที่จะทำให้การฝึกหัดวิธีคิดกลายเป็นผลสำเร็จได้


บันไดขั้นที่ 1 : มองตัวเองว่าดี

        การที่คนเราจะมองโลกหรือมองคนอื่นในแง่ดีได้ ต้องมาจากพื้นฐานที่มองและเชื่อว่าตัวเองดีเสียก่อน ขั้นตอนเพื่อการมองตัวเองว่าดี มีดังต่อไปนี้
- หาข้อดีของตนเอง ลองสำรวจพิจารณาข้อดีของตนเอง(ไม่ใช่การเข้าข้างตัวเอง) อาจเป็นความดีเล็กๆน้อย เช่น พาคนแก่ข้ามถนน ช่วยลูกนกที่ตกต้นไม้ ฯลฯ เพื่อให้เกิดความรักและความภาคภูมิใจในตัวเอง 
- ถ่อมตัว การมองเห็นความดีของตนเองนั้นมีไว้เพื่อบอกตัวเราเองให้เกิดความพอใจในตัวเอ ง รักตัวเอง แต่ไม่ใช่เพื่อข่มหรือคุยทับคนอื่น การถ่อมตัวจึงเป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งที่พึงจะมีควบคู่กัน 
- นอกจากจะรู้จุดแข็ง(ข้อดี)แล้ว ยังควรต้องสำรวจจุดอ่อนของตนเองด้วย เมื่อเรายอมรับได้ว่านั่นคือข้อบกพร่องของเราจริงๆ ก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ในที่สุด
- เพิ่มความดี แม้จะรู้ว่าตนมีข้อดีในด้านใดบ้าง ก็ไม่ควรหยุดตัวเองไว้เพียงเท่านั้น แต่ควรเพิ่มคุณสมบัติอื่นๆที่ดีให้มากยิ่งขึ้น อาจเริ่มต้นโดยการตั้งเป้าหมายเป็นข้อๆว่าคุณอยากจะทำอะไรดีๆเพิ่มขึ้นบ้าง แล้วค่อยๆฝึกฝนไปทีละข้อ

บันไดขั้นที่ 2 : มองคนอื่นว่าดี

        เมื่อผ่านบันไดขั้นแรกมาแล้ว จะทำให้เราเริ่มตระหนักว่าคนทุกคนล้วนแต่ไม่สมบูรณ์ ย่อมมีข้อบกพร่องมากน้อยแตกต่างกันออกไป ( แม้แต่ตัวเราก็ยังมีข้อเสีย) ดังนั้น การมีชีวิตที่มีความสุขจึงหมายถึงการอยู่ร่วมกันโดยเลือกมองและใช้ประโยชน์จ ากความดีที่ผู้อื่นมีอยู่ โดยไม่ใช่การเสแสร้ง แต่มองเห็นความดีของเขาจริงๆ

บันไดขั้นที่ 3 : มองสิ่งที่เหลืออยู่ ไม่ใช่สิ่งที่ขาดหาย

        เมื่อเกิดปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆขึ้น ลองมองความทุกข์หรือปัญหานั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วย่อมกลับไปแ ก้ไขไม่ได้ แต่เราสามารถนำมาพิจารณาได้ว่าในวิกฤติที่เราพบนั้นมีข้อดีอะไรแฝงอยู่หรือจ ะใช้ประโยชน์จากปัญหานั้นได้อย่างไรบ้าง เช่น ผู้ป ่วยที่เป็นมะเร็งรู้สึกว่า รักตัวเองมากขึ้น เลิกทำอะไรไร้สาระ แล้วหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาจิตใจมากขึ้น เช่น ฝึกสมาธิ ช่วยเหลืองานการกุศล เป็นต้น

บันไดขั้นที่ 4 : หมั่นบอกตัวเอง 

        ขึ้นชื่อว่าเป็นความคิดก็มักจะอยู่กับเราไม่นาน แต่ความคิดก็มักเป็นต้นทางและบ่อเกิดของการกระทำ ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องทำให้ความคิดดีๆอยู่กับเราตลอดเวลา เช่น บอกตัวเองว่าเป็นคนเก่งทุกครั้งที่ทำอะไรสำเร็จ แม้จะเป็นเพียงความสำเร็จเล็กน้อย บอกตัวเองว่าเพื่อนร่วมงานก็เป็นคนดีคนหนึ่งแม้เขาจะมีข้อบกพร่องอีกหลายอย่าง บอกตัวเองว่าเราโชคดีที่ได้ทำงานยากๆแม้ค่าตอบแทนจะน้อยแต่ก็ทำให้เราได้ประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่ายๆ ฯลฯ

บันไดขั้นที่ 5 : ใช้ประโยชน์จากคำว่าขอบคุณ

        เคยมีคำสอนจากอาจารย์เซนท่านหนึ่งกล่าวว่า เมื่อต้องพบเจอเรื่องร้าย จงยิ้มแล้วกล่าวคำว่าคำขอบคุณ เพราะนั่นคือบททดสอบที่ดีข องการมีชีวิตที่เข้มแข็ง หากมีคนด่าว่าคุณ แทนที่จะโต้ตอบ การกล่าวคำว่าขอบคุณ แทนที่จะโต้ตอบ จะช่วยลดท่าทีความรุนแรงลงได้เกือบท ั้งหมด ทั้งยังทำให้บุคคลนั้นแปลกใจ และอาจกลับไปพิจารณาพฤติกรรมของตัวเองได้โดยที่คุณไม่ต้องพูดอะไรสักคำหากเร าตั้งสติ และพินิจพิเคราะห์อุปสรรคต่างๆอย่างมากพอ เราจะรู้สึกขอบคุณต่อข้อขัดข้องเหล่านั้น อย่างน้อยมันก็ทำให้เราเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งมากยิ่ง ขึ้น เข้าใจจากความผิดพลาดว่าสิ่งใดไม่ควรทำ (แม้ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะสำเร็จก็ตาม) และช่วยให้รอบคอบมากขึ้นเพื่อไม่ผิดพลาดซ้ำอีก 

        โธมัส อัลวา เอดิสัน เคยบอกกับผู้ช่วยของเขาในระหว่างการทดลองประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าว่า " เราไม่ได้ล้มเหลวจากการทดลอง 700 กว่าครั้งที่ผ่านมา แต่เรากำลังเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่า มี 700 วิธีที่ไม่ควรทำ และใกล้จะพบคำตอบแล้ว "


        ความผิดพลาดจึงเป็นบันไดขั้นสำคัญในการเรียนรู้ หากรู้จักใช้ประโยชน์ ก็ไม่ถือว่าสูญเปล่า การมองโลกในแง่ดี จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีคิดเพื่อการใช้ชีวิตที่มีความสุข ที่เริ่มต้นง่ายๆได้จากตัวคุณนี่เอง


ที่มา  :  วิชาการดอทคอม